การกระจ่ายความเสี่ยงทางการค้า
เราทุกคนคงเคยสังเกตว่าระบบการค้าเดียวกันทำงานไม่เหมือนกันแล้วแต่วันของสัปดาห์และเวลา ตามปกติเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับยทธศาสตร์ แต่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของขบวนการเคลื่อนไหวการเสนอราคาในตลาดของทรัพย์สินทางการค้า
เราสามารถทำอะไรได้เพื่อได้รับกำไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษนี้ คำตอบคือเราต้องเทรดโดยใช้ กระเป๋าทรัพย์สิน อย่างนี้เรากระจ่ายความเสี่ยง เพราะเมื่อเรามีการขาดทุนในทรัพย์สินรายการหนึ่ง เราก็จะได้รับรายได้จากการเทรดทรัพย์สินรายการอื่นๆ
การกระจ่ายความเสี่ยงคืออะไร
การกระจ่ายความเสี่ยง เป็นเงื่อนไขที่เทรดเดอร์จัดตั้ง เพื่อทำให้การขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเทรดทรัพย์สินชนิดหนึ่ง จะน้อยกว่ากำไรจากการเทรดทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราทำการเทรดโดยใช้ยุทธศาสตร์ การค้าในช่องราคา เราใช้คู่เงินตรา AUD/CAD เท่าหนั้น หลังจากที่มีการเปิดเผยข่าวเศรษฐกิจมหาภาค คู่เงินตราคู่นี้ออกนอกขอบเขตของช่องราคาและเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้าท่านทำสัญญา สะท้อนกลับจากขอบเขตของช่องข้างในช่อง ท่านจะเริ่มขาดทุน แน่นอนอีกไม่นานตลาดจะสงบลงและสัญญาของท่านจะนำกำไรมาอีก แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่ง และเราไม่มีโอกาสทราบว่าเราจะมีสัญญาที่ขาดทุนอีกกี่ครั้ง
แต่ถ้าเราจะใช้คู่เงินตราหลายคู่ในการเทรด เช่น NZD/USD, AUD/CAD, GBP/USD และ USD/CAD แม้แต่ถ้าเราขาดทุนจากการเทรดคู่เงินตรา AUD/CAD ท่านจะได้รับกำไรที่ดีจากการเทรดคู่เงินตรา NZD/USD, GBP/USD และ USD/CAD ดังนั้น กระเป๋าการค้า ของท่านจะมีกำไรในภาพรวม นี่แหละที่เรียกว่า การกระจ่ายความเสี่ยงทางการค้า
กฎระเบียนการจัดตั้งกระเป๋าการค้าเพื่อกระจ่ายความเสี่ยง
ความแตกต่างในขบวนการการเสนอราคาทรัพย์สิน
หนึ่งในเงื่อนไขหลักของการกระจ่ายความเสี่ยง คือความแตกต่างระหว่างการเสนอราคาทรัพย์สินที่ท่านใช้ในกระเป๋าการค้า หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวที่ใหญ่ที่สุดของการเสนอราคาทรัพย์สินหนึ่งไม่ต้องมีผลต่อขบวนการการเสนอราคาทรัพย์สินอื่น
ถ้าท่านใช้คู่เงินตราในการเทรด ท่านจะต้องเลือกคู่เงินตราที่ใช้เงินตราไม่เหมือนกัน เช่น EUR/USD, GBP/JPY, USD/CHF, AUD/CAD เพราะว่าถ้าเงินยูโรเริ่มลดราคาลงอย่างรวดเร็วถ้าเปรียบเทียบกับเงินตราอื่นๆในตลาด คู่เงินตราทุกคู่ที่มีเงินตรา EUR เป็นเงินตราที่หนึ่งก็จะเริ่มเคลื่อนที่ด้วย เช่น EUR/USD, EUR/JPY และ EUR/GBP เป็นต้น ดังนั้นถ้าท่านเลือกเงินตราเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋าการค้าของท่าน ท่านก็จะเริ่มขาดทุนจากการเทรดคู่เงินตราสามคู่นี้
สำหรับทรัพย์สินในตลาดสินค้าและตลาดหุ้น ตามปกติมันไม่เกี่ยวพันธ์กันเลย และขบวนการการเสนอราคาของตลาดเหล่านี้ไม่เหมือนกันเลย
ควรใช้เครื่องมือทางการค้า 5 เครื่องมืออย่างมากที่สุด
ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถทำทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้ ดังนั้นเทรดเดอร์ไม่สามารถทำการเทรดกับกระเป๋าการค้า ที่มีเครื่องมือทางการเงินมากกว่า 5 เครื่อง
ลักษณะการเคลื่อนไหวของราคา
ท่างคงสังเกตแล้วว่า เครื่องมือทางการค้าทุกเครื่องมีการเคลื่อนไหวของราคาที่มีลักษณะพิเศษของมัน เช่น คู่เงินตราที่มี เงินฟรังซ์ สวิซเซอร์แลนด์ (CHF) ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) เคลื่อนที่ในช่องที่เป็นแนวนอน (flat channel) เกือบเสมอ ดังนั้นเราต้องใช้เงินตรา หมายความว่าคู่เงินตราชนิดนี้ ที่มีเงินตราดังกล่าว (เช่น NZD/USD, AUD/CAD, USD/CHF ฯเลฯ) เพื่อจัดกระเป๋าที่มีการกระจ่ายความเสี่ยงสำหรับการเทรดในช่องราคา
สำหรับเงินตรายูโร (EUR) เยนญี่ปุ่น (JPY) ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ (GBP) เป็นเงินตราเทรนด์ ดังนั้นคู่เงินตราที่มีเงินตราเหล่านี้ (เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD ฯลฯ) เคลื่อนที่ในเทรนด์เกือบเสมอ ด้วยเหตุนี้เราต้องใช้เงินตราเหล่านี้เพื่อทำการค้าตามยุทธศาสตร์เทรนด์
นอกจากนี้ มีคำแนะนำอีกข้อหนึ่งสำหรับคนที่ตัดสินใจใช้การค้ากับกระเป๋าการค้าเพื่อกระจ่ายความเสี่ยง แพลตฟอร์มการค้า Binomo มีหัวข้อย่อยพิเศษ ที่ท่านสามารถใช้เพื่อเปลี่ยนระหว่างทรัพย์สินที่ท่านมีในกระเป๋าการค้าได้ อย่างนี้ท่านจะสามารถติดตามสถานการณ์ในตลาดของทรัพย์สินที่ท่านเลือกมาอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโต้อย่างรวดเร็วถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

เพิ่มเติม https://binomo.com/promo/l23?a=07638588678a
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น